เราต่างทราบกันดีว่าการใช้ความรุนแรงของตำรวจเป็นปัญหาที่แท้จริงในสหรัฐอเมริกา ทำให้เข้าใจได้ถึงสถานการณ์ที่ผู้คนกำลังวางแผนเพื่อหาวิธีการป้องกันตนและคนที่รักเพื่อไม่ให้ถูกตำรวจทำร้ายหรือสังหาร หลายคนที่มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เริ่มสนับสนุนให้ตำรวจสวมใส่กล้องวีดิทัศน์ติดตัวกับเครื่องแบบของพวกเขา โดยมีแนวคิดที่ว่ากล้องจะเป็นสิ่งช่วยป้องกันความรุนแรงของตำรวจ หรืออย่างน้อยที่สุดเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ให้รับผิดชอบหลังความจริงปรากฏ กลุ่มผู้ทำกิจกรรมการรณรงค์เพื่อปฏิรูปตำรวจ (ที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดของนักปฏิรูป Black Lives Matter) และสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันกำลังสนับสนุนมาตรการนี้ แม้แต่กรมตำรวจเองก็ได้ผ่านการลงนามเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้วถึงแม้จะเกิดการต่อต้านขึ้นในระยะแรกก็ตาม แต่แนวคิดที่ว่าการมีกล้องจำนวนมากขึ้นจะช่วยหาผู้รับผิดชอบได้ดีขึ้นนั้น (อย่างไรก็ตาม เราคิดไปเอง) อาจขึ้นอยู่กับหลักฐานที่มีความผิดพลาด การที่ตำรวจไม่ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นฆาตกรไม่ได้เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครเห็น แต่เพราะพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ยิ่งใหญ่กว่าที่บอกพวกเขาว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะเข่นฆ่าประชาชน ซึ่งในทุกระดับของสังคมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้พิพากษา อัยการถึงคณะลูกขุน พลเมือง และสื่อ ต่างล้วนให้การสนับสนุนส่งเสริมมุมมองของตำรวจอย่างไร้ซึ่งเหตุและผล จึงไม่น่าแปลกใจที่ระดับชั้นบรรยากาศนี้ตำรวจสามารถกระทำการฆาตกรรมผู้ใดก็ได้โดยปราศจากความกลัวต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
กลุ่มผู้สนับสนุนกล้องติดตัวแบบสวมใส่ของตำรวจรวมถึงกลุ่มผู้สนับสนุนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่บังเอิญเห็นเหตุการณ์การถ่ายทำภาพยนตร์ของตำรวจ ต่างเรียกร้องมาโดยตลอดให้กล้องทำหน้าที่สร้างความเท่าเทียมระหว่างตำรวจกับประชาชนเพราะพวกเขาต้องตกเป็นเครื่องมือสำหรับความรับผิดชอบ แต่กลับมีหลักฐานน้อยมากที่สนับสนุนการเรียกร้องดังกล่าว หลายคนคิดว่าสิ่งที่ถูกเห็นด้วยภาพบันทึกวีดิทัศน์ผ่านกล้องนั้นนำมาซึ่งความรับผิดชอบ แต่ต้องเป็นความรับผิดชอบแบบไหนกันจึงจะสาสมกับการถูกตำรวจกระทำทารุณกรรมด้วยการใช้ความรุนแรง หากเงินที่ต้องจ่ายชำระในรูปของค่าปรับหรือค่าชดเชยเปรียบเสมือนทั้งหมดที่นักปฏิรูปตำรวจต้องการแล้ว พวกเขาจะเรียกร้องได้จากที่ไหนเมื่อไม่มีอะไรให้ต้องจ่ายบนคำตัดสินชี้ขาดที่ว่า บริสุทธิ์ หรือการพิจารณาคดียังไร้ซึ่งข้อสรุป ในขณะที่พวกเขาจำต้องยอมจำนนต่อคำพิพากษาอย่างเกือบที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้กระนั้นหรือ หรือพวกเขาควรกลับบ้านและมีความสุขเหลือเกินกับกระบวนการศาลยุติธรรม หรือยังมีอีกหลายทางเลือกที่ตั้งอยู่บนช่องทางอื่นอย่างไม่เป็นทางการ สะท้อนถึงความจริงที่ว่าเราต่างไม่มีปัญหาเรื่องการถูกมองเห็นด้วยกล้องแต่เรามีปัญหาทางการเมือง ซึ่งมีเพียง “ความรับผิดชอบ” เท่านั้นที่เราเห็นว่าจะเกิดการชำระเงินขึ้นเป็นครั้งคราว (จ่ายโดยผู้เสียภาษี) การชำระเงินเหล่านี้ไม่ถือเป็นส่วนความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี หรือเป็นการสร้างการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการถูกทำร้ายและการฆาตกรรมในอนาคตแต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าจะเกิดความลังเลขึ้นในช่วงแรกของการนำกล้องติดตัวตำรวจมาใช้ แต่หน่วยงานตำรวจทั้งกรมและเจ้าหน้าที่ต่างทำการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพวกเขาตระหนักได้ว่ากล้องนั้นสร้างคุณค่าต่อพวกเขามากกว่าที่พวกเขาสร้างคุณค่าต่อสาธารณชนทั่วไปภายใต้การเฝ้าระวังตรวจตรา ขณะนี้เรามีหน่วยงานตำรวจ 4,000 แห่งในสหรัฐอเมริกาที่ใช้กล้องติดตัวตำรวจ รวมถึงหน่วยงานในชิคาโกและนิวยอร์กที่ใหญ่ที่สุดอีกสองแห่ง จึงไม่มีคนแปลกหน้าที่ไหนที่ก่อปัญหาด้วยการใช้ความรุนแรงแก่บุคคลอื่นแล้วจะหลบหนีไปได้ ผู้ครองตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกล้องติดตัวเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าทางธุรกิจกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี Taser Inc หลังจากทำการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยชื่อที่เหมือนกันก็ถูกนำไปใช้เพื่อการเข่นฆ่า ซึ่งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 500 ราย ในช่วงระหว่างปี 2544 ถึง 2555 Taser ได้เริ่มทำการติดตั้งกล้องเพิ่มในปืนยิงยาสลบของพวกเขาเมื่อปี 2549 พร้อมกับแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดด้วยกล้องติดตัวที่สามารถสวมใส่ได้ในปี 2551 ตั้งแต่นั้นมามูลค่าหุ้นของ Taser ได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าสิบเท่าตัว นี่ไม่ได้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ยังมีการรับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรมของรัฐบาลโอบามา ซึ่งใช้งบประมาณไปกว่า 19.3 ล้านเหรียญสหรัฐในการจัดซื้อกล้องติดตัวเจ้าหน้าที่ จำนวน 50,000 ตัว เพื่อใช้สำหรับหน่วยงานที่มีการบังคับใช้ภายใต้กฎหมาย Taser ยังได้เปิดตัวบริการจัดเก็บข้อมูลแบบคลาวด์เพื่อเสนอให้กับกองกำลังตำรวจ (ใช่ ที่ให้บริการจัดเก็บหลักฐานแบบส่วนตัว) มีการนำเสนอการผลิตโดรนพร้อมปืนยิงยาสลบ (และแน่นอน กล้อง) ประกอบเข้าด้วยกัน และเมื่อไม่นานมานี้ได้ทำการซื้อ Dextro ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในการระบุตัวตนและจัดทำดัชนีของใบหน้าและวัตถุเฉพาะ
เมื่อคืนก่อนฉันยืนอยู่บนชานชาลารถไฟใต้ดินและแหงนมองป้ายดิจิทัลที่ประกาศเวลาการมาถึงของขบวนถัดไป แต่ ณ ขณะนั้น ป้ายสัญญาณกำลังส่งข้อความที่ต่างออกไป “กล้องวงจรปิดไม่รับประกันว่าจะป้องกันการก่อให้เกิดเหตุแห่งอาชญากรรมได้” ช่างรู้สึกทึ่งที่บรรดาสถาบันการติดตั้งกล้องวงจรปิดต่างยอมรับสิ่งนี้ ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากที่ได้รับการเฝ้าระวังตรวจตราจากกล้องวงจรปิดนั้นกลับไม่ตระหนักถึงแนวคิดนี้ เพราะพวกเขาล้วนให้การสนับสนุนการนำกล้องติดตัวตำรวจมาใช้
เหนือกว่าความเชื่ออื่นใด คน “ประพฤติ” ในขณะที่ผู้อื่นกำลังเฝ้าจับตาดูอยู่ และกล่าวถึงน้อยครั้งกว่าสิ่งใด ไม่มีวิธี “ประพฤติ” ที่เหมาะสมกับทุกคน หากตำรวจมีความเชื่อดังที่แสดงออกเพื่อชี้ชัดให้เห็นว่าการกระทำของพวกเขานั้นเป็นธรรม ผู้บังคับบัญชาของพวกเขา ระบบกฎหมาย และประชากร ในภาพรวมล้วนเห็นด้วยกับการกระทำของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยกรณีใดก็ตาม
น่าเสียดายที่พวกเราบางคนพบเห็นพวกเขา ซึ่งยังคง “ประพฤติ” ตามแบบฉบับที่พวกเขากระทำมาตั้งแต่ต้น แม้จะมี (และอาจเป็นเพราะ) กล้องที่เฝ้าจับตาดูอยู่
ตำรวจไม่รู้สึกเกรงกลัวต่อกฎหมายหรือที่เหนือกว่ากฎหมาย นั้นเป็นเพราะไม่จำเป็น
มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ตำรวจผู้ลงมือฆ่าผู้อื่นนั้นไม่ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นฆาตกร ประการแรกส่วนของกฎหมายและการตัดสินพิจารณาคดีของศาลต้องมีภาระการพิสูจน์ที่หนักอึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อที่จะสามารถเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่ด้วยข้อหา “ปฏิบัติหน้าที่ด้วยการกระทำการโดยขาดซึ่งเหตุผล” ซึ่งรัฐวอชิงตันนั้นถือเป็นรัฐที่มีอุปสรรคสูงสุดในการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากถ้อยคำข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงของตำรวจทำให้มีตำรวจรัฐวอชิงตันเพียงนายเดียวเท่านั้นที่ถูกจับกุมด้วยข้อหาฆาตกรรมผู้อื่นในช่วงตลอดระยะเวลาระหว่างปี 2548 ถึง 2557 ถึงแม้ว่าจะมีประชาชนผู้เสียชีวิตเป็นจำนวน 213 ราย ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสังหาร และเจ้าหน้าที่นายหนึ่งกลับถูกพบว่าไม่มีความผิดแม้จะมีผู้เสียชีวิตที่ถูกยิงจากด้านหลังก็ตาม นอกเหนือจากเอกสารทางกฎหมายสำหรับการพิสูจน์แล้ว ตำรวจ เป็นอีกผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่สอบสวนเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ลงมือฆ่า ช่างเป็นความฉาวโฉ่แห่งการกระจุกตัวเพื่อปกป้องกรมของตนถึงกับมีการตั้งรหัสที่ใช้ติดต่อกันเพื่อเรียกชำระค่าใช้จ่ายทั้งมวล และลำดับต่อไปคงไม่พ้น อัยการ พวกเขาจำต้องขึ้นอยู่กับตำรวจเป็นพื้นฐานแบบวันต่อวัน อย่างแน่นอนที่สุดเพื่อประโยชน์ของรูปคดี แต่ยังมีอีกหลายแรงจูงใจที่จะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างมีความสุข ด้านล่างนี้เรามีบรรดาผู้พิพากษาและคณะลูกขุนผู้ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่เหนือผู้คนที่วิจารณ์หรือฟ้องร้องพวกเขา
ในที่สุดเราก็มีสื่อที่ไม่แสดงความคิดเห็นโดยปราศจากการตั้งคำถามแบบตำรวจนกแก้วและผู้บริโภคสื่อที่เป็นผู้สร้างคณะลูกขุน คณะลูกขุนมักประกอบด้วยผู้ที่สามารถหยุดงานได้ ในขณะที่ผู้ที่ถูกตำรวจฆ่าส่วนใหญ่มักจะมาจากชนชั้นล่าง จึงเป็นเรื่องยากที่คนเหล่านี้จะเป็น “เพื่อนร่วมงาน” กับผู้ที่ทำหน้าที่อยู่ในคณะลูกขุน
จากการรวบรวมข้อมูลเท่าที่สามารถค้นหาได้ในช่วงเวลากว่าเก้าปีที่มีการนำกล้องติดตัวตำรวจมาใช้ พบว่า มีเพียงกรณีเดียวที่ตำรวจต้องเผชิญกับข้อหาฆาตกรรมหลังจากที่พวกเขาฆ่าใครบางคนในขณะที่สวมใส่กล้อง เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2557 ที่อัลบูเคอร์คี มลรัฐนิวเม็กซิโก James Boyd ได้ตั้งแคมป์ในสวนสาธารณะในเมือง ทำให้มีประชาชนโทรแจ้งตำรวจจนในที่สุดมีเจ้าหน้าที่ถึงสิบเก้านายที่ทำการตอบรับโทรศัพท์เหล่านั้น
การรวมกันของสองสิ่งสุนัขและมือปืน เป็นที่รู้กันว่า Boyd มีอาการของโรคจิตเภทและกำลังถือมีดในมือทั้งสองข้างเพื่อใช้ในการป้องกันตัว หลังจากเกิดความขัดแย้งนานกว่าสามชั่วโมงเจ้าหน้าที่สองนาย Keith Sandy และ Dominique Perez ได้ยิง Boyd รวมหกนัดด้วยกัน ในวันที่ 11 ตุลาคม 2559 การพิจารณาคดีนี้ได้รับการประกาศว่าเกิดความผิดพลาดจากการที่คณะลูกขุนถูกปิดกั้น โดยลูกขุนเก้าท่านเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์และอีกสามท่านเชื่อว่าพวกเขาล้วนมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา กล้องติดตัวของเจ้าหน้าที่ Sandy และ Perez ไม่ได้ป้องกันไม่ให้พวกเขายิง Boyd หรือวีดิทัศน์ที่พวกเขาบันทึกเหตุการณ์ไว้ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องรับผิดชอบต่อการตายของชายผู้นี้ อัยการได้อ้างว่าวีดิทัศน์ “ไม่สามารถโกหกได้” แต่คณะลูกขุนทั้งเก้าท่านต่างเห็นวีดิทัศน์ของชายที่มีความทุกข์ทรมานทางจิตใจ ถูกรายล้อมด้วยตำรวจถึงสิบเก้านาย และถูกยิงรวมทั้งสิ้นหกนัด แล้วยังกล้าตัดสินคดีว่าตำรวจเหล่านี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเหตุสมผล วีดิทัศน์อาจไม่โกหกแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง อาจเป็นเพียงการชี้ชัดให้เห็นถึงมุมมองและหัวเรื่องที่ต้องนำมาตีความต่อ ตามที่มีผู้นำไปเขียนเพิ่มเติมไว้ดังนี้
Keith Sandy เกษียณแล้วส่วน Dominique Perez พร้อมที่จะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ของเขาอีกครั้งเป็นเรื่องบ่อยครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เนื่องจากเงินค่าปรับหรือเงินชดเชยที่มีผู้ฟ้องร้องเอากับตำรวจนั้นไม่ได้เป็นส่วนความรับผิดชอบแต่อย่างใดของบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีหรือแม้กระทั่งของกระทรวงเอง แต่ในการชำระเงินชดเชยจำนวนเงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับครอบครัวของ James Boyd เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีการเสียชีวิตนั้นถูกจ่ายโดยผู้เสียภาษีของเมืองอัลบูเคอร์คี
ในขณะที่เกิดการแพร่หลายของวีดิทัศน์ที่บันทึกภาพเหตุการณ์ฆาตกรรมโดยตำรวจ ความนิยมของโทรศัพท์มือถือที่ติดตั้งกล้องวีดิทัศน์ในตัวก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราไม่เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของ “ความรับผิดชอบ” ยังมีตำรวจอีกมากที่ไม่ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นฆาตกร อีกมากที่ไม่ถูกตัดสินโทษในคดีฆาตกรรม และอีกจำนวนมากของตัวเลขการฆาตกรรมโดยตำรวจที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง คดีฆาตกรรม Eric Garner อยู่ในกำมือของเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจนิวยอร์ก Daniel Pantaleo มีการบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ได้โดยผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์โดยบังเอิญ แต่วีดิทัศน์นี้ไม่ได้ช่วยชีวิตของ Garner หรือนำไปสู่ความรับผิดชอบใดๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ Pantaleo (ถึงแม้ว่าเมื่อสองปีก่อนเขาได้ใช้ช่วงวันหยุดติดต่อกันสองวันสำหรับการตั้งด้านหยุดและตรวจค้นอย่างผิดกฎหมาย ก่อนที่เขาจะลงมือฆ่า Garner)
“ทั้งโลกกำลังจับตาดูอยู่!” เป็นวลีที่ฝูงชนนับไม่ถ้วนต่างเปล่งเสียงร่ายท่วงทำนองเมื่อสิ้นสุดการถูกทารุณกรรมด้วยการใช้ความรุนแรงของตำรวจ เลิกขยายความพูดเกินจริงเราเองควรเริ่มตั้งคำถาม แล้วยังไงล่ะ Don Rose นักหนังสือพิมพ์และนักกิจกรรมอ้างว่าได้ประกาศเกียรติคุณแก่ถ้อยวลีนี้ด้วยการสรรเสริญผ่านคำกล่าวที่ว่า “…บอกพวกเขาว่าทั้งโลกกำลังจับตาดูอยู่และพวกเขาไม่มีทางที่จะหนีรอดไปได้อีกครั้ง”
แต่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์กลับบ่งชี้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้ประท้วงถูกโจมตีโดยตำรวจจึงรังสรรค์การส่งต่อของท่วงทำนองแห่งวลีที่มีชื่อเสียงที่สุด นอกการประชุมประชาธิปไตยแห่งชาติในชิคาโก เมื่อปี 2511 แม้ว่าจะมีการอ้างสิทธิ์ของ Rose แต่นายกเทศมนตรีเมืองชิคาโกในขณะนั้นได้อ้างว่า เขาได้รับจดหมายสนับสนุนกว่า 135,000 ฉบับ ว่าไม่เคยมีเจ้าหน้าที่แม้แต่คนเดียวที่ได้รับโทษเนื่องจากใช้ความรุนแรงในการปฏิบัติหน้าที่ แม้ในขณะที่เกือบทั้งโลกกำลังเฝ้าจับตาดูอยู่นั้นยังคงเกิดอีกหลายคดีอันอื้อฉาวโด่งดัง อาทิเช่น คดีการถูกทำร้ายของ Rodney King กลับยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าตำรวจผู้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีที่สมควรต้องรับผิดชอบนั้นจะถูกตัดสินให้รับโทษหรือไม่ (คณะลูกขุนเพียงให้เจ้าหน้าที่พ้นจากตำแหน่ง ผู้ที่ทำร้าย King) จากการประท้วงในปี 2542 ขององค์การการค้าโลกในซีแอตเทิลไปจนถึงวอลล์สตรีท ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตามที่ผู้ประท้วงเอาชนะม้าที่ตายนี้ด้วยท่วงทำนองแห่งวลี ตำรวจก็ยังคงทำการโจมตีบนหัวของพวกเขาต่อไปโดยไม่ได้รับผลกระทบมากนักและอ้างว่าเพื่อเป็นการยุติการก่อความรุนแรง
การสนับสนุนชวนเชื่อของกล้องติดตัวตำรวจมักอิงจากกรณีศึกษาของกรมตำรวจ Rialto ซึ่งเริ่มใช้กล้องติดตัว (กับเจ้าหน้าที่บางคน) ในปี 2555 กรณีศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีการลดลงอย่างมากของจำนวนการร้องเรียนต่อกองกำลังตำรวจ ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาสื่อและกลุ่มผู้สนับสนุนจำนวนมากต่างโน้มน้าวให้การลดลงของการร้องเรียนนี้ส่งผลในเชิงบวกเพียงเพราะมีการนำกล้องติดตัวตำรวจมาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ กรณีศึกษาจากผู้เขียนท่านอื่นมีเพียงไม่กี่ชิ้นที่เป็นที่ยอมรับ Tony Farrar เคยมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในฐานะหัวหน้ากรมตำรวจของ Rialto เจ้าหน้าที่ Farrar ถูกเชิญมาเพื่อช่วยกรมตำรวจที่ล้มเหลว ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งการกองกำลังจำนวนมากพอที่จะสามารถใช้ขมขู่ด้วยการสั่งให้ปลดประจำการได้ทั้งกอง เขาได้สร้างแรงจูงใจอันทรงพลังเพื่อลดการใช้กองกำลังของเจ้าหน้าที่ภายใต้บังคับบัญชาทั้งที่มีหรือไม่มีกล้องติดตัว ในอีกแง่มุมหนึ่งที่สื่อต่างละเลยเพิกเฉยถึงความสัมพันธ์สอดคล้องอันแท้จริงแห่งกรณีศึกษา จำนวนการร้องเรียนที่ลดลงนั้นมิได้หมายรวมถึงการลดจำนวนลงของเหตุแห่งการร้องเรียน ถึงแม้การร้องเรียนที่ลดลงนั้นสร้างผลประโยชน์เชิงบวกสำหรับตำรวจเช่นเดียวกับตัวกล้องเอง แต่ไม่จำเป็นต้องส่งผลเช่นเดียวกันนี้สำหรับพวกเราที่เหลือ ผู้คนยังมีอีกหลายเหตุผลบนความถูกต้องที่จะร้องเรียนแต่ความกลัวต่อผลกระทบที่เป็นไปได้นั้นส่งผลยับยั้งพวกเขา ความกลัวนี้สร้างการแผ่ขยายออกได้ในขณะที่กล้องติดตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นเป็นเพียงตัวแทนของการเฝ้าระวังตรวจตราในรูปแบบอื่น กรณีนี้กล้องติดตัวจะเพิ่มบรรยากาศของการขู่ขวัญและมีแนวโน้มที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปสงบลงมากกว่าที่จะเป็นการทำให้สงบลงด้วยนักฆ่าติดอาวุธพร้อมมือในชุดที่สวมใส่ ไม่ว่ากล้องติดตัวตำรวจจะบันทึกสิ่งใดก็ตามจะเป็นมุมมองที่ใช้เพื่อสนับสนุนตรรกศาสตร์ของรัฐและเหล่าตำรวจเลวเสมอ
ความคิดและความคิดเห็นที่มีอยู่ของผู้คนนั้นมีไม่น้อยที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นผู้กำหนดวิธีการตีความภาพวีดิทัศน์เอง ซึ่งเราต่างไม่มีเหตุผลให้เชื่อว่าตำรวจเป็นผู้กำกับดูแล คณะกรรมการบริหาร อัยการ ผู้พิพากษาหรือคณะลูกขุน และผู้ที่จะต้องดูวีดิทัศน์เหล่านี้ที่จะได้เห็นในสิ่งเดียวกันกับที่เหยื่อและนักวิจารณ์ตำรวจเห็น ช่างเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งหากจะคิดไปเองว่าการรับผิดชอบนั้นคล้อยตาม “การปฏิรูป” เฉกเช่นเดียวกับการนำกล้องติดตัวมาใช้ เมื่อหลักฐานทั้งหมดบ่งชี้เป็นอย่างอื่นมุมมองของตำรวจจะถือเป็นสิ่งสำคัญที่มีสิทธิพิเศษเหนือผู้ที่วิจารณ์ต่อว่าหรือเป็นผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีพวกเขาในสายตาของผู้พิพากษา คณะลูกขุน และประชาชนทั่วไป เพราะกล้องติดตัวตำรวจเป็นสิ่งที่ใช้ในการแสดงให้เห็นถึงมุมมองอันแท้จริงของตำรวจ (แง่มุมที่ Taser ได้กล่าวไว้ในสื่อการตลาดของตนเอง) วีดิทัศน์เหล่านี้มีมุมมองที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจง่ายเหมือนการมองเห็นด้วยการแทนที่ตัวเองกับรองเท้าของเจ้าหน้าที่ โดยสร้างความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อตำแหน่งงานและการปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้สวมใส่กล้องติดตัว
ในฐานะที่โตมาในยุคของโทรทัศน์ช่วงปี 2523 จึงได้เรียนรู้จากภาพยนตร์เรื่อง G. I. Joe ว่าการรู้เป็นเพียงครึ่งเดียวของการต่อสู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผิดมหันต์ คือ การรู้เป็นเพียงครึ่งเดียวของการต่อสู้ด้วยส่วนที่เหลือเป็นการกระทำ เราสามารถพึ่งพาเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อช่วยเราได้แต่คงไม่ได้มากไปกว่าการที่เราจะสามารถพึ่งพาระบบศาลอันเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเฝ้าระวังตรวจตรา
ในทุกวันนี้ทุกแห่งหนที่คุณเดินทางไปจะมีข้อความว่า “ถ้าคุณเห็นอะไรบางอย่าง ให้พูดอะไรสักอย่าง” และอาจเป็นนักปฏิวัติตำรวจ (เช่น โครงการรายงานการประพฤติมิชอบของตำรวจแห่งชาติโดยกาโต้) ที่ได้ขยายขอบเขตไปที่ “ถ้าคุณเห็นอะไรบางอย่าง ให้บันทึกภาพอะไรสักอย่าง” แต่คำสั่งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีคิดที่ว่าการเป็นพยานนั้นเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว กล่าวได้ว่าในการบันทึกภาพความโหดร้ายดังกล่าวคุณได้กระทำตามภาระหน้าที่ทางศีลธรรมของคุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สันนิษฐานได้ว่าหลังจากที่คุณทำการบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ได้นั้นวงล้อของระบบจะหมุนจนในที่สุดความยุติธรรมจะอยู่เหนือสิ่งอื่นใด… ซึ่งเราเห็นว่าเป็นเพียงความปรารถนาทางความคิด เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราแทนที่ด้วยประโยคที่ว่า “ถ้าคุณเห็นอะไรบางอย่าง ให้ทำอะไรสักอย่าง” เช่นนั้นหรือ หรือถ้าเหตุการณ์ทุกครั้งเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งใจทำร้ายหรือคุกคามใครบางคน พวกเขาคงต้องเกรงกลัวต่อการที่ผู้เห็นเหตุการณ์อาจไม่เพียงแค่เป็นพยานแต่จะพยายามหยุดยั้งพวกเขา ก่อน ที่จะลงมือกระทำการใดๆ สำเร็จ ก่อนที่พวกเขาจะสร้างความชอกช้ำขมขื่นหรือปลิดชีพใครบางคนเยี่ยงนั้นหรือ แล้วอะไรกันที่จะทำให้สิ่งนี้เป็นความจริงขึ้นมาได้
ผู้ที่สนับสนุนการใช้กล้องติดตัวตำรวจต้องการเชื่อในความรับผิดชอบที่ผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ โดยหวังว่าการทำให้ถูกมองเห็นผ่านกล้องนั้นจะช่วยปกป้องเราจากภัยคุกคามอันแท้จริง จากการเพิ่มจำนวนการจัดกองกำลังตำรวจในปัจจุบัน เป็นเรื่องน่าเศร้าที่อุปกรณ์วีดิทัศน์เหล่านี้ไม่สามารถใช้งานได้จริงตามเจตจำนงที่ตั้งไว้ ทั้งที่มีส่วนช่วยในการเฝ้าระวังตรวจตราในรูปแบบที่สร้างประโยชน์มากขึ้นแกพวกเราทุกคน เราไม่จำเป็นต้องทราบข้อมูลให้ละเอียดขึ้นในสิ่งที่ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่แต่เราจำเป็นต้องหยุดพวกเขาจากการประพฤติในสิ่งที่พวกเขามักกระทำ เราไม่ได้มองหาความโปร่งใสหรือความรับผิดชอบแต่เรากำลังมองหาโลกที่ปราศจากตำรวจ เราต้องการที่จะอยู่เหนือความต้องการสำหรับการรับผิดชอบเพื่อสร้างโลกที่ไม่เพียงแต่ไม่ปรารถนาให้มีตำรวจแต่ไม่แม้แต่จะเอื้ออำนวยสนับสนุนส่งเสริมต่อผู้ที่จะประสงค์จะมาดำรงตำแหน่งตำรวจของเรา
อ่านเพิ่มเติม
Ben Brucato:
The New Transparency: Police Violence in the Context of Ubiquitous Surveillance
Policing Made Visible: Mobile Technologies and the Importance of Point of View
Standing By Police Violence: On the Constitution of the Ideal Citizen as Sousveiller